วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

3G

3G มาจากคำว่า 3rd Generation คือ มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อแทนทีระบบ 2G ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน โดย กสทช. จะจัดให้มีการประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่อนความถี่ 2.1 Hz หรือ 2100MHz ในวันนี้ (16 ตุลาคม 2555) เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือในการรับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งสามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย และแข่งขันด้านโทรคมนาคมกับต่างประเทศได้ 

 


4G



สิ่งที่น่าสนใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยี 4G ก็เป็นผลมาจากจุดอ่อนของระบบ 3G นั่นเอง โดยที่ผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมทั่วโลกได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินสูงถึงหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ เพื่อซื้อใบอนุญาตใช้สิทธิในการประกอบการโทรคมนาคมเครือข่าย 3G เพียงเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารแบบมัลติมีเดียแบบเคลื่อนที่ได้ แต่การนำมาใช้จริงกลับกลายเป็นทำได้ยากกว่าที่คาดไว้ และยังมีการลงทุนทางด้านเครือข่ายและการบำรุงรักษาเครือข่ายที่สูง จึงสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ประกอบกิจการที่กำลังจะพัฒนาระบบจาก 2.5G สู่ 3Gโดยสรุปแล้วแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยี 4G มีดังนี้ คือ  ความสามารถในการทำงานของ 3G อาจจะไม่เพียงพอที่จะสนองตอบความต้องการของแอพพลิเคชั่นสูงๆ อย่างเช่น มัลติมีเดีย, วิดีโอแบบภาพเคลื่อนไหวที่เต็มรูปแบบ (Full-motion video) หรือการประชุมทางโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless teleconferencing) ทำให้เกิดความต้องการเทคโนโลยีเครือข่ายที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ 3G โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่มากด้วย
 มาตรฐานที่ซับซ้อนของ 3G ทำให้ยากในการเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่าย แต่เราต้องการใช้งานแบบเคลื่อนที่และพกพาไปได้ทั่วโลก
 นักวิจัยต้องการให้รูปแบบการส่งคลื่นทางเทคนิคมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถในการส่งข้อมูลที่เร็วกว่า 10 Mbps ซึ่งไม่สามารถทำได้ในโครงสร้างของ 3G
 ระบบ 4G เป็นระบบเครือข่ายแบบ IP digital packet ทำให้สามารถส่ง Voice และ Data ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยราคาการให้บริการที่ถูกมากและมีรูปแบบที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 


5G

 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลอังกฤษร่วมกับมหาวิทยาลัยประจำเมืองเซอร์รีย์ และบริษัทชั้นนำในอุตสาหกกรรมโทรคมนาคม อาทิ Huawei, Samsung, Telefonica Europe และ Fujitsu Labs ในการวิจัยพัฒนาและทดลองโครงการ "5G Innovation Centre" มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่ 5 (5th Generation cellular communications) เพื่อออกแบบสร้างมาตรฐาน เตรียมพร้อมในการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต ซึ่งขณะนี้มีการตั้งศูนย์วิจัยแห่งใหม่เพื่อศึกษาเครือข่าย 5G โดยเฉพาะ

          อย่างไรก็ตาม ข่าวการวิจัย 5G สร้างความสงสัยให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยทีเดียว เนื่องจากมองว่า เทคโนโลยี 4G LTE ก็เพิ่งเปิดตัวไม่นาน อีกทั้งมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีการใช้งาน ขณะที่อังกฤษเองก็จะเริ่มให้บริการ 4G ในปีหน้า ดังนั้นจะเร่งรีบพัฒนาไปทำไม


เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศาสตราจารย์ราฮิม ทาฟาซอลลี หัวหน้าศูนย์วิจัยระบบการสื่อสารโทรคมนาคม จากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ เปิดเผยว่า การเติบโตของแอพพลิเคชั่นใหม่ที่ใช้ทำงานบนเครือข่ายพัฒนาไปรวดเร็วมาก ยิ่งมีมือถือมากขึ้นก็หมายความว่าความต้องการเข้าอินเทอร์เน็ตก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้อัตรา Data Traffic เติบโตอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยี 5G ที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ก็เพื่อให้ใช้คลื่นวิทยุที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งตอนนี้การศึกษาเรื่อง 5G ได้เริ่มต้นไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าสำเร็จก็อาจทำให้อังกฤษมี 5G ใช้ก่อนประเทศอื่น ไม่เหมือนกับ 4G ที่เพิ่งจะได้ใช้หลังประเทศอื่น
          ทั้งนี้ ทางรัฐบาลอังกฤษจะเป็นฝ่ายออกงบประมาณแรกเริ่มให้ก่อนเป็นจำนวน 35 ล้านปอนด์ และอีก 24 ล้านปอนด์นั้นจะมาจากภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่ก้าวแรก ๆ เท่านั้น และคาดว่าโครงการจะมีกำหนดเสร็จสิ้นพร้อมใช้งานได้จริงในเบื้องต้นในปี 2020 (พ.ศ. 2563) โดยมีความเร็วสูงสุด 10Gpbs หรือเฉลี่ยความเร็วในขณะเคลื่อนที่ต่อคนอยู่ท200Mbps



ความแตกต่างของ 3G 4G

 3G และ 4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง
 
      
เมื่อก่อนเราใช้โทรศัพท์เป็นโทรศัพท์ คือใช้โทรได้อย่างเดียว นั้นเรียกว่ายุค 1G พอยุค 2G โทรศัพท์ก็สามารถถ่ายรูปได้ ส่งข้อความได้ ส่งอีเมล์ได้ แต่ยังติดขัดอยู่ในเรื่องของสัญญาณติดๆ ขัดๆ เวลาเคลื่อนไหว ส่วน 3G จริงๆ แล้วก็คือระบบโทรศัพท์ที่พัฒนาอีกขั้นหนึ่งให้มีการเชื่อมต่อตลอดเวลา ในเรื่องของข้อมูล เฉพาะฉะนั้นในด้านการเชื่อมต่อข้อมูลจะดีกว่า อีกทั้งยังไม่ได้คิดราคาตามเวลาการใช้ แต่จะคิดตามอัตราการโหลดข้อมูล และมีความเร็วในการใช้งานที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นโทรศัพท์ในยุค 3G จึงไม่ใช่แค่เพียงโทรศัพท์อีกต่อไป 3G ทำให้การพูดคุยสามารถเห็นหน้ากันได้ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซอฟท์แวร์ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโทรศัพท์ ก็คืออีกสักหน่อยโทรศัพท์อาจจะส่งสัญญาณให้ควบคุมสิ่งของที่บ้าน เช่น ส่งให้เปิดปิดตู้เย็น เปิดปิดหม้อหุงข้าว เป็นต้น หรือข้อมูลอะไรต่างๆ ที่มีพื้นที่การเก็บข้อมูลมากๆ 3G ก็จะให้ประโยชน์เหล่านี้นั้นเอง อย่างเช่น แผนที่เราก็สามารถดาวน์โหลดได้จากอินเตอร์เนตเข้ามาที่โทรศัพท์โดยผ่านระบบ3G นี้ได้เลย 
 
4 G เทคโนโลยีใหม่ 
 
       
คำว่า 3G ในเรื่องของโทรศัพท์ก็คือมาตรฐานการพัฒนาซึ่งแบ่งเป็นยุคๆ ตั้งแต่ยุค 1G ที่โทรศัพท์เป็นแบบเซลลูล่าอันใหญ่ๆ ใช้สัญญาณอนาลอก หรือสัญญาณคลื่นวิทยุซึ่งเกิดในปี 1981 ยุคต่อมาคือ 2G เริ่มในปี 1992 โดยใช้ระบบดิจิตอล คือการนำสัญญาณเสียงมาบีบอัดให้เล็กลงจนเป็นสัญญาณอิเล็กโทรนิค ต่อมาในปี 2001 ก็เริ่มมีการใช้โทรศัพท์ 3G ที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรกที่นำระบบ 3G เข้ามาใช้จนถึงทุกวันนี้ จุดเด่นของ 3G คือรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ส่วนจุดอ่อนของ 3G คือ การเปลี่ยนจาก 2G ปัจจุบันในประเทศไทยเรานั้นน่าจะเรียกว่าระบบ 2.9G คือจากระบบ 2G เป็น 2.5G จนมาเป็น 2.9G เช่น สามารถถ่ายภาพแล้วก็อัฟเดตขึ้น Facebook ได้เลย แต่ก็ยังต้องคอยอยู่ดี แต่ถ้าเป็น 3G แล้วก็จะเร็วขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็เลยถือว่ามันไม่ได้ตอบสนองโจทย์ทั้งหมด เพราะถ้าจะพัฒนาระบบทั้งหมดให้เป็น 3G ต้องใช้งบลงทุนมากมายมหาศาล แต่สิ่งที่ได้มาบางทีอาจจะไม่คุ้มกับการใช้งานจริง ในส่วนของประเทศที่ใช้ 3G มานานแล้วเขามองว่าจะเปลี่ยนเป็นระบบ 4G กันแล้ว 4G เป็นเหมือนการสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกๆ 10 ปี
 
ความแตกต่างของ 4G 5G




 4G ยังไม่ได้รับการยืนยันถึงความเป็นไปได้ และความชัดเจนที่แน่นอนจากประเทศที่พัฒนาระบบนี้ )  ในบางครั้งหากเราต้องการดูภาพวีดีโอเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น  ก็สามารถรับชมได้ทันทีจากการส่งข้อมูลของผู้ที่เราสนทนาด้วย  เรียกได้ว่าเป็นการสื่อสารอย่างหูทิพย์ตาทิพย์แบบปัจจุบันทันด่วนเลยทีเดียว
สำหรับหลักการทางทฤษฎีนั้นจัดว่ามีความเป็นสากลอยู่มากไม่มีข้อยกเว้นในประเภทงานธุรกิจ หรือ ประเทศที่ใช้หลักการ 5G นี้ ตามปกติเมื่อมีการค้นพบหลักการทฤษฎีใหม่ขึ้น อาจทำให้ทฤษฎีเก่าที่มีอยู่ถูกลบล้างไปได้ง่ายๆ แต่ในกรณีของหลักการ 5G นี้ มิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากกฎเกณฑ์ที่นำมาใช้ นอกจากจะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย หรือขนาดของธุรกิจแล้ว ยังมีความแตกต่างกันทางธรรมเนียมประเพณีและสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นด้วย
สำหรับหลักการทางทฤษฎีนั้นจัดว่ามีความเป็นสากลอยู่มากไม่มีข้อยกเว้นในประเภทงานธุรกิจ หรือ ประเทศที่ใช้หลักการ 5G นี้ ตามปกติเมื่อมีการค้นพบหลักการทฤษฎีใหม่ขึ้น อาจทำให้ทฤษฎีเก่าที่มีอยู่ถูกลบล้างไปได้ง่ายๆ แต่ในกรณีของหลักการ 5G นี้ มิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากกฎเกณฑ์ที่นำมาใช้ นอกจากจะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย หรือขนาดของธุรกิจแล้ว ยังมีความแตกต่างกันทางธรรมเนียมประเพณีและสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น